7 สัญญาณที่บ่งบอกว่า “เพื่อนร่วมงาน” กำลังมีความรู้สึกพิเศษให้กับคุณ โดย บริษัทจัดหาคู่รัก จัดหาคู่เดท ระดับไฮเอนด์ คนโสดฐานะดี โปรไฟล์ดี

SHARE

7 สัญญาณที่บ่งบอกว่า “เพื่อนร่วมงาน” กำลังมีความรู้สึกพิเศษให้กับคุณ หลงรักเพื่อนร่วมงานออฟฟิศเดียวกัน คนโสดหาคู่จริงจัง ผู้หญิงโสดหาคู่ ผู้ชายโสดหาคู่

7 สัญญาณที่บ่งบอกว่า “เพื่อนร่วมงาน” กำลังมีความรู้สึกพิเศษให้กับคุณ 

เรื่องราวความรักในที่ทำงาน

 

สถานที่ทำงาน แค่พูดถึง หลาย ๆ คนก็อาจจะส่ายหน้า เบือนหน้าหนี เพราะเป็นสถานที่ที่เต็มไปด้วยความเครียด และความกดดัน อีกทั้ง บริษัทหลายๆ แห่ง ก็มีกฏห้ามความสัมพันธ์ในที่ทำงาน เพราะอาจนำปัญหาต่างๆ เข้าสู่ออฟฟิศ  แล้วความรักในที่ทำงานเกิดขึ้นได้จริง ๆ หรือ ?

 

ทีมวิจัยจาก Forbes Advisor ได้ลงสำรวจและพบว่าจากกลุ่มตัวอย่างที่เป็นคนทำงานจำนวน 2,000 คน มีคนจำนวนกว่า 61% ที่ระบุว่าพวกเขา “เคยมีความสัมพันธ์โรแมนติกในที่ทำงาน” ส่วนอีก 50% ระบุว่าพวกเขาเคยลองจีบคนที่ทำงานมาแล้ว และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ มีถึง 43% จากกลุ่มตัวอย่างที่บอกว่าพวกเขาได้แต่งงานกับคนที่เคยเป็นเพื่อนร่วมงานกันมาก่อนด้วย !

 

เรียกได้ว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ เพราะออฟฟิศหรือที่ทำงานก็เป็นสถานที่ที่ทำให้เราได้เจอกับคู่ชีวิต และความสัมพันธ์ที่จริงจังจนถึงขั้นแต่งงานอย่างที่หลาย ๆ คนมองหาได้  แต่นอกจากด้านที่สวยงามแล้ว ผลสำรวจก็ยังชี้ให้เราเห็นว่า นอกจากความสัมพันธ์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่แล้ว ยังมีความสัมพันธ์แบบผิดศีลธรรม คือการนอกใจคู่รักของตัวเองไปมีสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานสูงถึง 40% ด้วยเช่นกัน

 

ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้แม่สื่อ บริษัทจัดหาคู่ ระดับไฮเอนด์ Bangkok Matching อยากจะมาแชร์เทคนิคดี ๆ สำหรับใครที่กำลังสงสัยว่า “มีใครในที่ทำงานกำลังหมายตาคุณอยู่หรือไม่ ?” เพื่อให้คุณได้รู้ตัว จะได้ตอบรับความรู้สึกเขาทันท่วงที หรือเพื่อให้คุณระวังตัวในกรณีที่อีกฝ่ายเป็นคนที่มีครอบครัวอยู่แล้ว จะได้ไม่ล่วงล้ำถลำลึกโดยไม่รู้ตัวค่ะ

 

7 วิธีสังเกตว่าเพื่อนร่วมงานคนนี้กำลังมีใจให้กับคุณ?

 

สำหรับ 7 วิธีสังเกตที่แม่สื่อนำมาฝากกันในวันนี้ ก็เป็น Guideline สำหรับการสังเกตพฤติกรรมภายนอกที่อีกฝ่ายมีให้คุณเท่านั้น การจะรู้ว่าอีกคนชอบคุณจริงหรือไม่ หรือเพียงแค่แกล้งแสดงออกให้เรารู้สึกสับสนเพื่อหวังอะไรบางอย่างนั้นจะต้องอาศัยการวิเคราะห์ร่วมกันหลาย ๆ อย่าง ทั้งการแสดงออก และการกระทำ เพราะฉะนั้นถ้าหากคุณรู้สึกว่า พวกเขาทำตัวเข้าข่ายข้อสังเกตเหล่านี้ ก็ต้องคิดถึงความเป็นไปได้ และการแสดงออกด้านอื่น ๆ ร่วมด้วยนะคะ เพื่อที่เราจะไม่กลายเป็นคนที่คิดเข้าข้างตัวเองนั่นเองค่ะ

 

  1. มีความสนใจในตัวคุณ สังเกตความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ

 

ถ้าคุณกำลังรู้สึกว่า “เพื่อนร่วมงานคนนี้ใส่ใจฉันจังเลย” ให้คุณลองเริ่มสังเกตพฤติกรรมของเขาคนนั้นเพิ่มเติมอีกนิด ว่าเขาเป็นคนที่มีบุคลิกชอบใส่ใจดูแลเพื่อนร่วมงานคนอื่น ๆ อยู่แล้วหรือไม่ ถ้าหากว่าปกติแล้ว เขาเป็นคนที่ไม่ได้ชอบเอาใจใส่ ใส่ใจคนอื่น แต่อยู่ดี ๆ มาสนใจและใส่ใจในตัวคุณ เห็นความเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แม้แต่บางทีตัวคุณเองก็ไม่ได้สังเกตเห็นด้วยซ้ำ ให้ทดไว้ในใจเลยค่ะ เพราะนี่เป็นนจุดเริ่มต้นดี ๆ ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวคุณค่ะ แม่สื่อขอยกตัวอย่างความใส่ใจที่มากเกินกว่าเพื่อนทั่วไปจะทำให้กัน ดังนี้ค่ะ

 

  • เขาใส่ใจสีหน้า ท่าทาง การแสดงออกของคุณว่ากำลังรู้สึกอย่างไร และถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง
  • เขาถามว่าคุณต้องการให้เขาช่วยเหลือหรือไม่ ด้วยความเต็มใจ
  • เขาถามความคืบหน้ากับสิ่งที่เขาสังเกตุเห็นอีกครั้ง เมื่อเวลาผ่านไป

 

  1. แสดงออกในทิศทางเดียวกันกับคุณ เป็น Supporter ที่ดีในที่ทำงาน

 

นอกจากเรื่องความใส่ใจแล้ว ในการทำงานหลาย ๆ ครั้ง ต้องมีการอภิปราย ประชุม ถกเถียงและร่วมตัดสินใจอยู่แล้วใช่ไหมล่ะคะ ดังนั้นในช่วงเวลาเหล่านี้ให้คุณลองสังเกตว่าเขาคนนั้นแสดงออกในทิศทางเดียวกันกับคุณหรือไม่ เขามีความคิดที่เห็นด้วยกับคุณ และคอยสนับสนุนคุณอยู่เสมอหรือเปล่า หรือถ้าคุณกำลังตกที่นั่งลำบาก ในบางครั้งเขาอาจแสดงออกด้วยการพูดปกป้องแทนคุณ โดยที่คุณไม่ต้องร้องขอด้วยซ้ำ ทำให้คุณรู้สึกมีคนคอยสนับสนุน และกล้าที่จะลงมือทำสิ่งใดๆ เพราะรู้ว่ามีคนที่พร้อมจะช่วยผลักดันและเห็นด้วยกับคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งบอกอีกหนึ่งอย่างว่า เขาเชื่อมั่นในตัวคุณ และพร้อมจะอยู่ข้าง ๆ เพื่อสนับสนุนนั่นเอง

 

7 สัญญาณที่บ่งบอกว่า “เพื่อนร่วมงาน” กำลังมีความรู้สึกพิเศษให้กับคุณ หลงรักเพื่อนร่วมงานออฟฟิศเดียวกัน คนโสดหาคู่จริงจัง ผู้หญิงโสดหาคู่ ผู้ชายโสดหาคู่
7 สัญญาณที่บ่งบอกว่า “เพื่อนร่วมงาน” กำลังมีความรู้สึกพิเศษให้กับคุณ หลงรักเพื่อนร่วมงานออฟฟิศเดียวกัน คนโสดหาคู่จริงจัง ผู้หญิงโสดหาคู่ ผู้ชายโสดหาคู่

 

  1. เปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เข้ากันกับคุณ

 

ชีวิตในที่ทำงานแตกต่างจากการเรียนหนังสือ เพราะแต่ละคนมีทิศทางการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน บางคนอาจจะไม่ชอบไปทานมื้อกลางวันกับเพื่อน ๆ บางคนอาจไม่ชอบ Hang-out หลังเลิกงาน บางคนเป็นสายปาร์ตี้นัดสังสรรค์กันทุกเย็นวันศุกร์ ถ้าหากคุณเข้าใจธรรมชาติการใช้ชีวิตของแต่ละคน แล้วอยู่ดี ๆ คน ๆ นั้นกลับเปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตของเขาให้เข้ากับคุณ นั่นก็เป็นเรื่องที่เซอร์ไพรส์มากนะคะ เป็นสัญญาณที่ค่อนข้างชัดว่า เขาอยากจะปรับไลฟ์สไตล์ให้เข้ากับคุณ ทั้งเพื่อให้คุณประทับใจและเพื่อให้คุณสองคนเข้ากันง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น คุณเป็นคนไม่เที่ยว เลิกงานแล้วกลับบ้านทันที ส่วนเขาเป็นคนมีเพื่อนที่ทำงาน มีสังคม สังสรรค์บ่อย ๆ แต่แล้วเขาก็ลดการเที่ยวสังสรรค์ลง และชวนนคุณกลับบ้านด้วยกัน ชวนไปทานข้าวหลังเลิกงานด้วยกันเงียบ ๆ 2 คน หรือมีการพูดเปรย ๆ ว่าอยากลองใช้ชีวิตแบบคุณดูบ้าง (ในทางที่ดีนะคะ) นั่นก็เป็นเพราะเขากำลังมีใจและอยากปรับตัวให้เข้ากันกับคุณนั่นเองค่ะ

 

  1. แสดงความห่วงใยนอกเหนือจากเรื่องงาน

 

เพราะเรื่องหัวใจก็คือเรื่องส่วนตัว ทำให้เขาอยากจะรู้เรื่องอื่น ๆ ที่อยู่นอกเหนือจากเรื่องการงานของคุณ เขาอาจจะอยากรู้เกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ เรื่องที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว สิ่งที่คุณชอบทำ ที่ที่คุณชอบไป หรือสิ่งที่คุณสนใจโดยไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน เป็นการพูดคุยแลกเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ และความคิดมุมมอง โดยไม่มีเรื่องงานมาเกี่ยวข้อง นั่นก็เป็นเพราะเขาอยากทำความรู้จักคุณในฐานะคนคนหนึ่งที่อยากจะสานสัมพันธ์ด้วย แต่ก็ต้องดูคำถามและกาารแสดงออกของเขาให้ชัดอีกทีนะคะ ว่าสิ่งที่เขาถามมันเป็นเพราะเขาสนใจอยากทำความรู้จักให้มากขึ้น หรือเขาถามแบบนี้กับทุกคน หรือถามซอกแซกเพราะอยากเอาเรื่องส่วนตัวของเราไปเล่าต่อหรือทำให้เสียหายหรือไม่ เรื่องนี้แม่สื่อขอให้ใช้วิจารณญาณไตร่ตรองก่อนจะเล่าเรื่องอะไรที่เป็น privacy มาก ๆ ให้อีกฝ่ายได้รับรู้ค่ะ

 

  1. มีเหตุผล (ข้ออ้าง) ต่าง ๆ เพื่อให้ได้คุยกับคุณมากขึ้น

 

เป็นเหตุผลง่าย ๆ เลยค่ะ เพราะเวลาที่เรารู้สึกดีกับใครเราก็อยากจะคุยกับคนนั้นเยอะ ๆ ดังนั้น ถ้าหากว่าคน ๆ นั้นเขาพยายามหาเรื่องมาพูดคุย ถามไถ่ ยกเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคุย แต่จบด้วยการชวนคุยจิปาถะ หรือคุยหยอดคำหวาน ก็เป็นไปได้นะคะที่เขากำลังพยายามหาเรื่องชวนคุณสนทนาอยู่นั่นเอง ซึ่งถ้าหากเป็นการพูดคุยที่ไม่ได้มากจนรบกวนเวลางาน ก็ถือว่าไม่เป็นไรค่ะ โดยคำถามที่ส่วนมากมักจะเป็นเรื่องที่เขาก็รู้ดีอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากจะถามเพื่อให้คุณได้พูดคุยกับเขาอะไรแบบนี้เป็นต้นค่ะ

 

  1. กล่าวชื่นชมคุณทั้งต่อหน้าและลับหลังอยู่บ่อย ๆ

 

แม้ว่าการถูกชื่นชมบ่อย ๆ ในที่ทำงานอาจทำให้คุณเกิดความกังวลขึ้นมาได้ว่า จริง ๆ แล้ว คนที่เขาพูดชมคุณต่อหน้า ลับหลังเขาจะพูดแบบเดียวกันหรือไม่ เรื่องนี้ คุณอาจจะต้องมีเพื่อนหรือมีทีมเพิ่มสักหน่อย เพื่อให้พวกเขามาเล่าให้คุณฟังว่าเมื่อลับหลังแล้วคน ๆ นั้นพูดถึงคุณในแง่ไหน ถ้าหากเขาแสดงความชื่นชมต่อตัวคุณทั้งต่อหน้าและลับหลัง ก็แปลได้ว่าเขามีความจริงใจและชื่นชอบคุณแบบที่เขาแสดงออกต่อหน้าคุณจริง ๆ นั่นเองค่ะ

 

  1. แชร์เรื่องราวส่วนตัวให้คุณฟัง

 

ลองสังเกตตัวเองดูว่าคุณรู้เรื่องราวของเขามากน้อยแค่ไหน ข้อมูลเกี่ยวกับเขาเรื่องไหนที่คุณรู้ หรือเขาเปิดเผยด้วยการเล่า บอก ให้กับคุณฟัง โดยเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องงาน ไลฟ์สไตล์ สิ่งที่เขาชอบและสนใจ ซึ่งจัดเป็นเรื่องส่วนตัว ถ้าหากเขาเปิดเผยให้คุณได้เป็นคนรับรู้ ก็ถือเป็นอีกสัญญาณหนึ่งว่าเขากำลังเปิดพื้นที่ส่วนตัวเพื่อให้คุณเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวในชีวิตเขาด้วยนั่นเองค่ะ

 

ปรับตัวอย่างไรให้ work and love balance

 

การกำหนดขอบเขตที่ชัดเจน คือ คีย์สำคัญของการแบ่งเส้นระหว่างความรักและหน้าที่การงานไม่ให้ทับซ้อนกัน หรือทำให้การมีความรักในที่ทำงานมาเป็นตัวฉุดรั้งให้ Performance ในการทำงานต่ำลงไป เพราะการมีความรักในที่ทำงานและทำให้งานดรอปลง อาจทำให้ถูกตำหนิติเตียนหรือถูกคาดโทษได้สำหรับในบางสถานที่ทำงาน ที่ความสัมพันธ์ระหว่างพนักงานที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบต่องาน เพราะฉะนั้นถ้าหากว่าคุณอยากสร้างความสัมพันธ์ระหว่างการทำงานและความรักให้ไปด้วยกันได้ดี การแบ่งขอบเขต และการควบคุมความรู้สึกเป็นสิ่งสำคัญที่คุณจะต้องฝึกฝนและทำมันให้ชัดเจน

 

เทคนิคบริหารเวลาให้รักและงานบาลานซ์ไปด้วยกัน

 

กรณีที่มีคนรักทำงานในที่เดียวกัน ถ้าอยากให้ชัดเจน แม่สื่อแนะนำให้คุณลองวาดวงกลมสองวงซ้อนทับกันโดยมีพื้นที่ intersect ตรงกลาง พื้นที่ฝั่งซ้ายเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเขาในเวลางาน พื้นที่ฝั่งขวาเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเรา หน้าที่การงานที่เราต้องรับผิดชอบ บทบาทที่เราต้องดูแล ส่วนพื้นที่ที่เป็นวงกลมแชร์ร่วมกันตรงกลาง คือชีวิตของเราและแฟนในที่ทำงาน คือจะต้องไม่เยอะกว่าเวลางานนั่นเองค่ะ เช่น ทานข้าวเช้าด้วยกัน ทานกลางวันด้วยกัน หรือซื้อเครื่องดื่มเป็นกำลังใจให้กันระหว่างวัน แต่หลัก ๆ ต้องดูแล รับผิดชอบหน้าที่การงานของตัวเองมากกว่า แต่เมื่อหลังจากจบหน้าที่ตรงนี้แล้ว ก็เป็นเวลาส่วนตัวที่แบ่งกันตามตกลงสมัครใจได้เลยค่ะ

 

แม่สื่อเข้าใจว่าการแบ่งความรู้สึกระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องการทำงานเป็นสิ่งที่พูดง่ายแต่ทำยาก เพราะคนเรามีอารมณ์ มีความรู้สึก จึงต้องหัดใช้ความอดทน สติ และการระลึกถึงว่าตอนนี้ตัวเรากำลังทำหน้าที่อะไรอยู่ เป็นการฝึกนิสัยความคิดของตัวเองล้วน ๆ เลยค่ะ ซึ่งถือเป็นอีกความยากและความท้าทายของการออกเดทในที่ทำงานด้วย ให้คุณท่องเอาไว้ค่ะว่าความสัมพันธ์ที่เฮลตี้ ความสัมพันธ์ที่ดี คือความสัมพันธ์ที่มีความสมดุลระหว่างตัวเรา ตัวคู่เดท และพื้นที่ตรงกลางนะคะ

 

สำหรับการออกเดทในที่ทำงานแม้จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ แต่อัตราความสำเร็จและการต่อสู้กับความรู้สึกระหว่างงาน และเรื่องส่วนตัว สภาวะแวดล้อม เพื่อให้ความสัมพันธ์คงอยู่ได้อย่างยาวนานก็ถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างท้าทาย หากคุณต้องการคู่เดทที่ตรงใจ ออกเดทในสภาพแวดล้อมที่ไม่ตึงเครียดเหมือนเดทเพื่อนร่วมงานออฟฟิศเดียวกัน สามารถติดต่อใช้บริการจัดหาคู่ ของ บริษัทจัดหาคู่เดทระดับไฮเอนด์ Bangkok Matching ให้เป็นผู้ช่วยดูแลหาคู่ให้คุณได้ค่ะ ที่ Line Official: @bangkokmatching

 

[seed_social]

Top